Dev to webs {Coding…}

เรียนรู้การพัฒนาซอฟเวอร์ เพื่อความรู้ที่ยั่งยืน

บทที่ 14: การเพิ่มความปลอดภัยใน WordPress

ความปลอดภัยของเว็บไซต์ WordPress เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการปกป้องข้อมูลและป้องกันการโจมตีจากผู้ไม่หวังดี บทนี้จะพาคุณเรียนรู้วิธีเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ WordPress ของคุณด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพ


1. ตั้งค่ารหัสผ่านที่ปลอดภัย

การตั้งค่ารหัสผ่านที่รัดกุมเป็นขั้นตอนแรกที่ช่วยป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต:

  • ใช้รหัสผ่านที่ประกอบด้วยอักษรตัวพิมพ์เล็ก ตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวเลข และสัญลักษณ์
  • หลีกเลี่ยงการใช้รหัสผ่านง่าย ๆ เช่น “123456” หรือ “password”
  • ใช้เครื่องมือสร้างรหัสผ่านอัตโนมัติ เช่น LastPass หรือ Bitwarden

2. เปลี่ยนชื่อผู้ใช้เริ่มต้น

WordPress มักตั้งค่าเริ่มต้นชื่อผู้ใช้เป็น “admin” ซึ่งทำให้แฮ็กเกอร์เดาได้ง่าย:

  • เปลี่ยนชื่อผู้ใช้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเดาได้ง่าย เช่น “MyWebsiteAdmin”
  • หากติดตั้งเว็บไซต์แล้ว ให้สร้างผู้ใช้ใหม่ที่มีสิทธิ์เป็นผู้ดูแลระบบ (Administrator) แล้วลบผู้ใช้เดิม

3. ใช้ปลั๊กอินความปลอดภัย

ปลั๊กอินความปลอดภัยช่วยเพิ่มเกราะป้องกันให้กับเว็บไซต์:

  • Wordfence Security: มีระบบป้องกัน Firewall และฟีเจอร์การสแกนมัลแวร์
  • iThemes Security: ช่วยปิดช่องโหว่พื้นฐาน เช่น การปิดใช้งานการล็อกอินผิดพลาดซ้ำ
  • Sucuri Security: ให้บริการป้องกันมัลแวร์และการโจมตี DDoS

4. เปิดใช้งาน HTTPS และ SSL

การใช้ HTTPS ช่วยเข้ารหัสการส่งข้อมูลระหว่างผู้ใช้และเว็บไซต์:

  • ขอใบรับรอง SSL จากผู้ให้บริการโฮสติ้ง หรือใช้บริการฟรี เช่น Let’s Encrypt
  • ตรวจสอบว่า URL ของเว็บไซต์เปลี่ยนเป็น https:// เพื่อแสดงว่าข้อมูลปลอดภัย

5. จำกัดความพยายามในการล็อกอิน

การโจมตีแบบ Brute Force มักใช้การเดารหัสผ่านจำนวนมาก:

  • ติดตั้งปลั๊กอิน เช่น Limit Login Attempts Reloaded เพื่อจำกัดจำนวนครั้งที่สามารถล็อกอินผิดได้
  • ใช้ระบบ Captcha ในหน้าล็อกอินเพื่อลดโอกาสถูกโจมตี

6. อัปเดต WordPress ธีม และปลั๊กอินอย่างสม่ำเสมอ

  • อัปเดต WordPress เป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อปิดช่องโหว่
  • ลบปลั๊กอินหรือธีมที่ไม่ได้ใช้งานเพื่อลดความเสี่ยง
  • ตรวจสอบว่าแหล่งที่มาของปลั๊กอินและธีมน่าเชื่อถือ

7. เปลี่ยน URL หน้าล็อกอิน

หน้าล็อกอินมาตรฐานของ WordPress คือ yourdomain.com/wp-admin หรือ yourdomain.com/wp-login.php ซึ่งแฮ็กเกอร์สามารถเข้าถึงได้ง่าย:

  • ใช้ปลั๊กอิน เช่น WPS Hide Login เพื่อเปลี่ยน URL หน้าล็อกอินเป็น URL ที่ปลอดภัยกว่า

8. เปิดใช้งานการยืนยันตัวตน 2 ขั้นตอน (Two-Factor Authentication)

เพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นด้วยการยืนยันตัวตน 2 ขั้นตอน:

  • ใช้ปลั๊กอิน เช่น Google Authenticator – Two Factor Authentication
  • กำหนดให้ผู้ใช้ต้องยืนยันผ่านแอปพลิเคชันหรือรหัสที่ส่งไปยังโทรศัพท์มือถือ

9. ป้องกันการแก้ไขไฟล์ผ่าน Dashboard

แฮ็กเกอร์สามารถใช้ฟีเจอร์แก้ไขไฟล์ใน WordPress เพื่ออัปโหลดมัลแวร์:

  • ปิดการแก้ไขไฟล์โดยเพิ่มโค้ดนี้ในไฟล์ wp-config.php
define('DISALLOW_FILE_EDIT', true);

10. สำรองข้อมูลเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ

การสำรองข้อมูลช่วยให้คุณสามารถกู้คืนเว็บไซต์ได้ในกรณีที่ถูกโจมตี:

  • ใช้ปลั๊กอิน เช่น UpdraftPlus เพื่อสำรองข้อมูลอัตโนมัติ
  • เก็บไฟล์สำรองในบริการ Cloud เช่น Google Drive หรือ Dropbox

สรุป

การรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์ WordPress ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องใส่ใจในรายละเอียดและปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ หากคุณทำตามขั้นตอนที่แนะนำในบทนี้ คุณจะลดความเสี่ยงจากการโจมตีและป้องกันข้อมูลสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่าลืม ทดสอบการตั้งค่าความปลอดภัยทุกครั้งและปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ! 😊