1. ใช้โครงสร้างโฟลเดอร์ที่เป็นระเบียบ
จัดการโครงสร้างโฟลเดอร์ในโปรเจกต์ Vue.js ให้เป็นระเบียบเพื่อความง่ายในการบำรุงรักษาและการขยายในอนาคต
ตัวอย่างโครงสร้าง:
src/
├── assets/ # ไฟล์รูปภาพ, CSS, และอื่น ๆ
├── components/ # Vue Components
├── views/ # หน้าเพจหลัก
├── router/ # การตั้งค่า Vue Router
├── store/ # การตั้งค่า Vuex
├── utils/ # ฟังก์ชันช่วยเหลือ
├── App.vue # Component หลักของแอปพลิเคชัน
└── main.js # Entry Point
2. ใช้ Single Responsibility Principle
Component ควรมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวและไม่ควรทำงานหลายอย่างในตัวเอง
ตัวอย่าง:
- Component ขนาดเล็ก:
<template> <button @click="handleClick">Click Me</button> </template> <script> export default { methods: { handleClick() { this.$emit('clicked'); } } }; </script>
- รวมหลาย Component:
ใช้ Component เล็ก ๆ นี้ใน Component ใหญ่แทนที่จะใส่โค้ดทั้งหมดในที่เดียว
3. ใช้ Props และ Events อย่างเหมาะสม
Props และ Events เป็นวิธีการส่งข้อมูลระหว่าง Parent และ Child Components ที่ง่ายและสะดวก
แนวทาง:
- ใช้ Props เพื่อส่งข้อมูลจาก Parent ไปยัง Child
- ใช้ Events เพื่อส่งข้อมูลจาก Child กลับไปยัง Parent
4. ใช้ Vuex หรือ Composition API สำหรับการจัดการ State ที่ซับซ้อน
ถ้าแอปพลิเคชันของคุณต้องการแชร์ข้อมูลระหว่าง Component หลายตัว ใช้ Vuex หรือ Composition API เพื่อจัดการ State อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ใช้ Watch และ Computed Properties อย่างระมัดระวัง
- ใช้
computed
สำหรับการคำนวณค่าที่ต้องการ Cache - ใช้
watch
สำหรับการติดตามการเปลี่ยนแปลงของค่าหรือการทำงานที่ซับซ้อน
ตัวอย่างการใช้ Computed:
<template>
<div>
<p>Full Name: {{ fullName }}</p>
</div>
</template>
<script>
export default {
data() {
return {
firstName: 'John',
lastName: 'Doe'
};
},
computed: {
fullName() {
return `${this.firstName} ${this.lastName}`;
}
}
};
</script>
6. แยกไฟล์สำหรับ CSS และ JavaScript
ใช้ Scoped CSS เพื่อลดการชนกันของ Styles และแยกไฟล์ JavaScript ออกมาเมื่อโค้ดมีขนาดใหญ่
ตัวอย่างการใช้ Scoped CSS:
<template>
<div class="container">
<p>Hello Vue.js!</p>
</div>
</template>
<script>
export default {
name: 'HelloComponent'
};
</script>
<style scoped>
.container {
color: blue;
}
</style>
7. ใช้ ESLint และ Prettier
ใช้เครื่องมือ ESLint และ Prettier เพื่อช่วยในการจัดรูปแบบและตรวจสอบโค้ดให้สอดคล้องกับมาตรฐาน
ติดตั้ง ESLint:
npm install eslint --save-dev
npx eslint --init
ติดตั้ง Prettier:
npm install prettier eslint-config-prettier eslint-plugin-prettier --save-dev
8. เขียน Unit Tests
ใช้ Vue Test Utils หรือ Jest เพื่อทดสอบ Component และฟังก์ชันต่าง ๆ ในแอปพลิเคชันของคุณ
ตัวอย่างการทดสอบ:
import { mount } from '@vue/test-utils';
import HelloComponent from '@/components/HelloComponent.vue';
describe('HelloComponent', () => {
it('renders a message', () => {
const wrapper = mount(HelloComponent);
expect(wrapper.text()).toContain('Hello Vue.js!');
});
});
9. ใช้ Lazy Loading สำหรับ Routes
สำหรับแอปพลิเคชันที่มีขนาดใหญ่ ควรใช้ Lazy Loading เพื่อลดเวลาโหลดหน้าเว็บ
ตัวอย่างการตั้งค่า:
const routes = [
{
path: '/about',
component: () => import('@/views/About.vue')
}
];
10. อัปเดต Dependencies เป็นประจำ
ตรวจสอบและอัปเดต Dependencies เช่น Vue CLI และ Library อื่น ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าแอปพลิเคชันของคุณได้รับประโยชน์จากฟีเจอร์ใหม่ ๆ และการแก้ไขข้อผิดพลาด
11. สรุป
ในบทนี้ คุณได้เรียนรู้ Best Practices หลัก ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาแอปพลิเคชัน Vue.js และทำให้โค้ดมีความยืดหยุ่นและง่ายต่อการบำรุงรักษา
ในบทถัดไป เราจะเจาะลึกเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพ (Performance Optimization) ในแอปพลิเคชัน Vue.js!