URL Structure หรือโครงสร้างของ URL เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับในผลการค้นหา และยังมีบทบาทในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ใช้งานอีกด้วย URL ที่ชัดเจนและกระชับช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจโครงสร้างเนื้อหาของเว็บไซต์ และช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ได้รับคลิกมากขึ้นจากผู้ใช้งาน
บทความนี้จะอธิบายถึงความสำคัญของการปรับปรุงโครงสร้าง URL และวิธีตั้งชื่อ URL ให้กระชับและเหมาะสมกับการค้นหาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ SEO
ความสำคัญของการปรับปรุง URL Structure
- ช่วยเพิ่มอันดับในผลการค้นหา (Search Rankings):
URL ที่เหมาะสมช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บได้ง่ายขึ้น และเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับ - สร้างความน่าเชื่อถือ:
URL ที่อ่านง่ายและเกี่ยวข้องกับเนื้อหา ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตาผู้ใช้งาน - เพิ่มอัตราการคลิก (Click-Through Rate – CTR):
URL ที่กระชับและชัดเจนช่วยให้ผู้ใช้งานมั่นใจที่จะคลิก - ปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure):
URL ที่ดีช่วยแสดงความสัมพันธ์ระหว่างหน้าเว็บต่าง ๆ ในเว็บไซต์
หลักการตั้งชื่อ URL ให้เหมาะสมกับ SEO
1. ใช้ URL ที่สั้น กระชับ และตรงประเด็น
- URL ที่สั้นและชัดเจนช่วยให้ผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
- หลีกเลี่ยงการใช้ URL ที่ยาวเกินไปหรือเต็มไปด้วยตัวอักษรพิเศษ
ตัวอย่างที่ดี:
- https://example.com/seo-tips
ตัวอย่างที่ไม่ดี: - https://example.com/index.php?id=12345678&type=article&category=seo
2. ใช้คีย์เวิร์ดใน URL
- ใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาใน URL เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาทราบว่าหน้าเว็บเกี่ยวกับอะไร
- หลีกเลี่ยงการใส่คีย์เวิร์ดมากเกินไป (Keyword Stuffing)
ตัวอย่าง:
- หากเนื้อหาเกี่ยวกับ “วิธีการทำ SEO” ควรตั้งชื่อ URL เป็น:
https://example.com/how-to-seo
3. ใช้เครื่องหมายขีดกลาง (-) แทนขีดล่าง (_)
- เครื่องหมายขีดกลาง (-) ช่วยให้เครื่องมือค้นหาแยกคำใน URL ได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างที่ดี: - https://example.com/seo-tips-for-beginners
ตัวอย่างที่ไม่ดี: - https://example.com/seo_tips_for_beginners
4. หลีกเลี่ยงการใช้ตัวอักษรพิเศษหรืออักขระที่ไม่จำเป็น
- อักขระพิเศษ เช่น &, %, $, หรือ = อาจทำให้ URL ดูยากและซับซ้อนเกินไป
- ใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเล็กทั้งหมดใน URL เพื่อความเป็นมาตรฐาน
ตัวอย่าง:
- แทนที่จะใช้:
https://example.com/วิธีทำ-seo - ควรใช้:
https://example.com/seo-tips
5. สร้างโครงสร้าง URL ที่สะท้อนถึงโครงสร้างเว็บไซต์
- การสร้าง URL ที่แสดงถึงหมวดหมู่และหัวข้อช่วยให้ผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหาทราบถึงโครงสร้างเว็บไซต์
ตัวอย่าง: - สำหรับบทความในหมวด “SEO Tips” และหัวข้อ “Basic SEO” ควรใช้:
https://example.com/seo-tips/basic-seo
6. หลีกเลี่ยงการใช้คำทั่วไปที่ไม่มีความหมาย
- คำอย่าง “and”, “of”, “the” สามารถตัดออกจาก URL ได้ เพื่อให้ URL สั้นและกระชับยิ่งขึ้น
ตัวอย่างที่ดี:
- https://example.com/top-seo-tools
ตัวอย่างที่ไม่ดี: - https://example.com/the-top-seo-tools-for-marketers
7. ใช้ HTTPS แทน HTTP
- เว็บไซต์ที่ใช้ HTTPS ไม่เพียงแต่เพิ่มความปลอดภัย แต่ยังช่วยให้คะแนน SEO ดีขึ้น เพราะ Google ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเว็บไซต์
ตัวอย่าง:
เครื่องมือช่วยปรับปรุง URL Structure
- Yoast SEO (สำหรับ WordPress):
- ช่วยแนะนำการตั้งค่า URL และปรับปรุงโครงสร้างให้เหมาะสม
- Google Search Console:
- ใช้เพื่อตรวจสอบว่าหน้าเว็บทั้งหมดถูกจัดทำดัชนี (Indexed) และไม่มี URL ที่ซ้ำซ้อน
- Ahrefs หรือ SEMrush:
- ช่วยตรวจสอบว่า URL มีโครงสร้างที่เหมาะสมหรือไม่
- Screaming Frog SEO Spider:
- ใช้เพื่อวิเคราะห์ URL ที่ซับซ้อนหรือมีปัญหา
ข้อควรหลีกเลี่ยงในการตั้งชื่อ URL
- หลีกเลี่ยง URL ที่ยาวเกินไป:
- URL ที่ยาวทำให้ผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหาไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ทันที
- หลีกเลี่ยงตัวเลขหรือรหัสที่ไม่เกี่ยวข้อง:
- หลีกเลี่ยงการเปลี่ยน URL โดยไม่ตั้งใจ:
- หากต้องเปลี่ยน URL ควรตั้งค่า 301 Redirect เพื่อส่งต่อ Traffic ไปยัง URL ใหม่
ตัวอย่างการปรับปรุง URL ให้เหมาะสม
ก่อนปรับปรุง:
https://example.com/index.php?cat=10&article=567
หลังปรับปรุง:
https://example.com/seo-tips-for-beginners
สรุป
การปรับปรุงโครงสร้าง URL ไม่เพียงช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบน Google แต่ยังช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บได้ง่ายขึ้น โดยการตั้งชื่อ URL ให้กระชับ มีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง และสะท้อนถึงโครงสร้างเว็บไซต์ จะช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพ SEO และประสบการณ์ผู้ใช้งานในระยะยาว
เริ่มต้นวันนี้ด้วยการตรวจสอบและปรับปรุง URL ของคุณเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นและพร้อมสำหรับการเติบโตในโลกออนไลน์!