Dev to webs {Coding…}

เรียนรู้การพัฒนาซอฟเวอร์ เพื่อความรู้ที่ยั่งยืน

การติดตั้งและใช้งาน Laravel

1. การติดตั้ง Laravel และการตั้งค่าเริ่มต้น

สรุปการเตรียมความพร้อมก่อนติดตั้ง Laravel
  1. ตรวจสอบและติดตั้ง PHP เวอร์ชัน 8.0 ขึ้นไป พร้อมส่วนขยายที่ Laravel ต้องการ { การติดตั้งและใช้งาน XAMPP }
  2. ติดตั้ง Composer สำหรับจัดการ dependencies
  3. เตรียมฐานข้อมูลที่ต้องการใช้งาน เช่น MySQL หรือ SQLite
  4. ติดตั้ง Code Editor และเครื่องมือเสริม (เช่น Node.js หากต้องการใช้งาน Laravel Mix)
  5. ตรวจสอบและตั้งค่า PATH สำหรับ PHP และ Composer
  6. ทำความเข้าใจคำสั่ง Artisan เบื้องต้น

1.1 การติดตั้ง Composer

Laravel จำเป็นต้องใช้ Composer ในการจัดการ dependencies ของโปรเจกต์ หากยังไม่ได้ติดตั้ง Composer ให้ติดตั้งตามขั้นตอนต่อไปนี้:

  1. ไปที่เว็บไซต์ https://getcomposer.org/ และดาวน์โหลด Composer
  2. ทำตามขั้นตอนการติดตั้งตามระบบปฏิบัติการที่ใช้ (Windows, macOS, หรือ Linux)
  3. หลังจากติดตั้งเสร็จแล้ว ให้ตรวจสอบการติดตั้งโดยรันคำสั่ง
composer -v

1.2 การติดตั้ง Laravel ผ่าน Composer

เมื่อ Composer พร้อมใช้งานแล้ว สามารถติดตั้ง Laravel โดยใช้คำสั่งต่อไปนี้:

  1. เปิด Command Prompt หรือ Terminal
  2. ใช้คำสั่งด้านล่างเพื่อติดตั้ง Laravel ในโฟลเดอร์ใหม่:
composer create-project laravel/laravel ชื่อโปรเจกต์

ตัวอย่าง:

composer create-project laravel/laravel laravel_project

เมื่อคำสั่งติดตั้งเสร็จสิ้น ให้เข้าไปในโฟลเดอร์โปรเจกต์ที่สร้างใหม่:

cd laravel_project

2. การเริ่มต้นใช้งาน Laravel และการตั้งค่าเบื้องต้น

2.1 การเปิดใช้งานเซิร์ฟเวอร์ใน Laravel

หลังจากติดตั้งเสร็จสิ้น ให้รันเซิร์ฟเวอร์ท้องถิ่นโดยใช้คำสั่ง:

php artisan serve

คำสั่งนี้จะเริ่มเซิร์ฟเวอร์ท้องถิ่นที่ URL http://localhost:8000 ซึ่งเป็น URL ของโปรเจกต์ Laravel

2.2 การตั้งค่าไฟล์ .env

ไฟล์ .env เป็นไฟล์สำหรับเก็บค่าคอนฟิกของโปรเจกต์ เช่น การตั้งค่าฐานข้อมูล ข้อมูล API และการตั้งค่าที่เป็นส่วนตัว

  1. เปิดไฟล์ .env ในโปรเจกต์
  2. แก้ไขค่าที่จำเป็น เช่น การตั้งค่าการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล
DB_CONNECTION=mysql
DB_HOST=127.0.0.1
DB_PORT=3306
DB_DATABASE=ชื่อฐานข้อมูล
DB_USERNAME=ชื่อผู้ใช้
DB_PASSWORD=รหัสผ่าน

3. ฟีเจอร์และการใช้งานหลักของ Laravel

3.1 การสร้าง Routing และ Controller

Laravel รองรับการจัดการเส้นทาง (Route) และ Controller ซึ่งช่วยให้การกำหนดฟังก์ชันการทำงานเป็นระบบมากขึ้น

ตัวอย่างการสร้าง Route และ Controller:

  1. สร้าง Controller ใหม่โดยใช้คำสั่ง:
php artisan make:controller MyController

เปิดไฟล์ routes/web.php และเพิ่ม Route ใหม่:

use App\Http\Controllers\MyController;

Route::get('/hello', [MyController::class, 'hello']);

เปิดไฟล์ app/Http/Controllers/MyController.php และเพิ่มฟังก์ชัน hello:

<?php

namespace App\Http\Controllers;

use Illuminate\Http\Request;

class MyController extends Controller
{
    public function hello()
    {
        return "Hello, Laravel!";
    }
}

เมื่อเปิด URL http://localhost:8000/hello ในเบราว์เซอร์ จะเห็นข้อความ “Hello, Laravel!”

3.2 การใช้งาน Blade Template Engine

Laravel มี Blade เป็น Template Engine ช่วยให้การเขียน HTML และ PHP ง่ายขึ้น พร้อมรองรับการใช้งาน Layout และการส่งข้อมูลจาก Controller ไปยัง View ได้อย่างสะดวก

ตัวอย่างการใช้งาน Blade

  1. สร้างไฟล์ Blade ใน resources/views เช่น hello.blade.php
<html>
    <body>
        <h1>Hello, {{ $name }}!</h1>
    </body>
</html>

ใน Controller ให้ส่งข้อมูลไปยัง Blade Template:

public function hello()
{
    return view('hello', ['name' => 'Laravel']);
}

4. การใช้งาน Laravel ในโปรเจกต์จริง

Laravel เหมาะสำหรับการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่มีโครงสร้างซับซ้อน เช่น ระบบร้านค้าออนไลน์ ระบบจัดการผู้ใช้ ระบบจัดการเนื้อหา (CMS) และอื่นๆ ด้วยฟีเจอร์ต่างๆ ที่ Laravel มี เช่น:

  • Authentication: Laravel มีระบบตรวจสอบสิทธิ์ผู้ใช้ที่สะดวก และสามารถตั้งค่าการเข้าถึงได้ง่าย
  • Eloquent ORM: ช่วยในการจัดการฐานข้อมูลแบบง่าย โดยไม่ต้องเขียน SQL เอง
  • API Development: Laravel รองรับการพัฒนา REST API อย่างเต็มรูปแบบ ช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันเป็นไปได้อย่างราบรื่น