1. การติดตั้ง Laravel และการตั้งค่าเริ่มต้น
สรุปการเตรียมความพร้อมก่อนติดตั้ง Laravel
- ตรวจสอบและติดตั้ง PHP เวอร์ชัน 8.0 ขึ้นไป พร้อมส่วนขยายที่ Laravel ต้องการ { การติดตั้งและใช้งาน XAMPP }
- ติดตั้ง Composer สำหรับจัดการ dependencies
- เตรียมฐานข้อมูลที่ต้องการใช้งาน เช่น MySQL หรือ SQLite
- ติดตั้ง Code Editor และเครื่องมือเสริม (เช่น Node.js หากต้องการใช้งาน Laravel Mix)
- ตรวจสอบและตั้งค่า PATH สำหรับ PHP และ Composer
- ทำความเข้าใจคำสั่ง Artisan เบื้องต้น
1.1 การติดตั้ง Composer
Laravel จำเป็นต้องใช้ Composer ในการจัดการ dependencies ของโปรเจกต์ หากยังไม่ได้ติดตั้ง Composer ให้ติดตั้งตามขั้นตอนต่อไปนี้:
- ไปที่เว็บไซต์ https://getcomposer.org/ และดาวน์โหลด Composer
- ทำตามขั้นตอนการติดตั้งตามระบบปฏิบัติการที่ใช้ (Windows, macOS, หรือ Linux)
- หลังจากติดตั้งเสร็จแล้ว ให้ตรวจสอบการติดตั้งโดยรันคำสั่ง
composer -v
1.2 การติดตั้ง Laravel ผ่าน Composer
เมื่อ Composer พร้อมใช้งานแล้ว สามารถติดตั้ง Laravel โดยใช้คำสั่งต่อไปนี้:
- เปิด Command Prompt หรือ Terminal
- ใช้คำสั่งด้านล่างเพื่อติดตั้ง Laravel ในโฟลเดอร์ใหม่:
composer create-project laravel/laravel ชื่อโปรเจกต์
ตัวอย่าง:
composer create-project laravel/laravel laravel_project
เมื่อคำสั่งติดตั้งเสร็จสิ้น ให้เข้าไปในโฟลเดอร์โปรเจกต์ที่สร้างใหม่:
cd laravel_project
2. การเริ่มต้นใช้งาน Laravel และการตั้งค่าเบื้องต้น
2.1 การเปิดใช้งานเซิร์ฟเวอร์ใน Laravel
หลังจากติดตั้งเสร็จสิ้น ให้รันเซิร์ฟเวอร์ท้องถิ่นโดยใช้คำสั่ง:
php artisan serve
คำสั่งนี้จะเริ่มเซิร์ฟเวอร์ท้องถิ่นที่ URL http://localhost:8000
ซึ่งเป็น URL ของโปรเจกต์ Laravel
2.2 การตั้งค่าไฟล์ .env
ไฟล์ .env
เป็นไฟล์สำหรับเก็บค่าคอนฟิกของโปรเจกต์ เช่น การตั้งค่าฐานข้อมูล ข้อมูล API และการตั้งค่าที่เป็นส่วนตัว
- เปิดไฟล์
.env
ในโปรเจกต์ - แก้ไขค่าที่จำเป็น เช่น การตั้งค่าการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล
DB_CONNECTION=mysql
DB_HOST=127.0.0.1
DB_PORT=3306
DB_DATABASE=ชื่อฐานข้อมูล
DB_USERNAME=ชื่อผู้ใช้
DB_PASSWORD=รหัสผ่าน
3. ฟีเจอร์และการใช้งานหลักของ Laravel
3.1 การสร้าง Routing และ Controller
Laravel รองรับการจัดการเส้นทาง (Route) และ Controller ซึ่งช่วยให้การกำหนดฟังก์ชันการทำงานเป็นระบบมากขึ้น
ตัวอย่างการสร้าง Route และ Controller:
- สร้าง Controller ใหม่โดยใช้คำสั่ง:
php artisan make:controller MyController
เปิดไฟล์ routes/web.php
และเพิ่ม Route ใหม่:
use App\Http\Controllers\MyController;
Route::get('/hello', [MyController::class, 'hello']);
เปิดไฟล์ app/Http/Controllers/MyController.php
และเพิ่มฟังก์ชัน hello
:
<?php
namespace App\Http\Controllers;
use Illuminate\Http\Request;
class MyController extends Controller
{
public function hello()
{
return "Hello, Laravel!";
}
}
เมื่อเปิด URL http://localhost:8000/hello
ในเบราว์เซอร์ จะเห็นข้อความ “Hello, Laravel!”
3.2 การใช้งาน Blade Template Engine
Laravel มี Blade เป็น Template Engine ช่วยให้การเขียน HTML และ PHP ง่ายขึ้น พร้อมรองรับการใช้งาน Layout และการส่งข้อมูลจาก Controller ไปยัง View ได้อย่างสะดวก
ตัวอย่างการใช้งาน Blade
- สร้างไฟล์ Blade ใน
resources/views
เช่นhello.blade.php
<html>
<body>
<h1>Hello, {{ $name }}!</h1>
</body>
</html>
ใน Controller ให้ส่งข้อมูลไปยัง Blade Template:
public function hello()
{
return view('hello', ['name' => 'Laravel']);
}
4. การใช้งาน Laravel ในโปรเจกต์จริง
Laravel เหมาะสำหรับการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่มีโครงสร้างซับซ้อน เช่น ระบบร้านค้าออนไลน์ ระบบจัดการผู้ใช้ ระบบจัดการเนื้อหา (CMS) และอื่นๆ ด้วยฟีเจอร์ต่างๆ ที่ Laravel มี เช่น:
- Authentication: Laravel มีระบบตรวจสอบสิทธิ์ผู้ใช้ที่สะดวก และสามารถตั้งค่าการเข้าถึงได้ง่าย
- Eloquent ORM: ช่วยในการจัดการฐานข้อมูลแบบง่าย โดยไม่ต้องเขียน SQL เอง
- API Development: Laravel รองรับการพัฒนา REST API อย่างเต็มรูปแบบ ช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันเป็นไปได้อย่างราบรื่น